วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สามเหลี่ยมเมอร์มิวด้า



   สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (Bermuda Triangle) ดินแดนต้องคำสาปที่ชาวโลกต่างยกให้เป็น
ที่หนึ่งในเรื่องความเร้นลับและอาถรรพ์ พื้นที่ตั้งของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นพื้นที่สามเหลี่ยม
ในทะเลซึ่งมีเนื้อที่ 1.5 ล้านตารางไมล์ ซึ่งอยู่บริเวณหมู่เกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือไปถึงตอนใต้ของฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออก ทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้งผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโกจากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวด้าทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมและเป็นแหล่งกำเนิดปรากฏการณ์เร้นลับขึ้น
ปรากฏการณ์ลึกลับและเหลือเชื่อ เริ่มต้นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 จนถึงปัจจุบัน ในน่านน้ำแห่งนี้ได้กลืนกินเครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่องและเรือเดินสมุทรอีกจำนวนมาก รวมถึงมนุษย์อีกนับพันคน ทั้งหมดนั้นล้วนหายไปในบรรยากาศและพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอยหรือเศษชิ้นส่วนใดๆ ของเรือหรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็นเลยและมันยังคงดำเนินอย่างนี้ต่อไปโดยมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ชนชาติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างพยายามดำเนินการค้นคว้าหาสาเหตุแห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างจริงจัง แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถบอกสาเหตุและหาทางป้องกันจากภัยที่เกิดขึ้นในอาณาบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ มันคือสิ่งท้าทายความสามารถของมนุษย์ที่สุด ในการที่จะแก้ปมปริศนา นักวิชาการต่างเสนอทฤษฎีต่างๆ บ้างก็ว่าเกิดจากสภาพอากาศที่แปรปรวน บ้างก็ว่าเกิดจากความผิดปกติของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า บ้างก็ว่าเกิดจากอำนาจของสิ่งบินลึกลับ
และอีกทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงเพราะสามารถอธิบายสาเหตุของการสูญหายของเรือและเครื่องบินได้อย่างค่อนข้างครอบคลุม นักวิทยาศาสตร์ได้ชี้ว่าบริเวณใต้ทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย โดยเฉพาะแหล่งของแก็สมีเธนไฮเดรท (Methane hydrates) ซึ่งในบางครั้งแรงดันของแหล่งแก็สเหล่านี้จะมีมากจนดันผ่านรอยแตกของเปลือกโลกขึ้นมา มันจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำเบื้องบน จึงไม่แปลกหากปรากฏการณ์นี้จะจมเรือสักสิบลำที่อยู่ในบริเวณนั้นพร้อมๆ กันได้ในพริบตา 
มีเธนไฮเดรทนี้สามารถรบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ ทำให้วิทยุสื่อสารตลอดจนเรดาร์หมดประสิทธิภาพในการทำงาน ส่วนกลุ่มควันความร้อนที่อบอวลอยู่รอบบริเวณ ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกเรือตกใจ นึกว่าตัวเองหลงเข้าไปในมิติสนธยา เพราะเคยมีการจำลองปรากฏการณ์นี้ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของอเมริกามาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่พอใจกับคำตอบนี้แต่ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายทฤษฎีที่ยังรอให้เราพิสูจน์ อย่างเช่น มีคนพบเห็นสัตว์ยักษ์ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าจำนวนมาก มีตั้งแต่ปลาหมึกยักษ์ยาวหลายร้อยฟุต ไปจนถึงตัวอะไรบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนมังกรทะเล บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี้ มีนักเดินเรือหรือนักบิน มักพบเห็นUFO บ่อยเป็นพิเศษ บางครั้งสถานีเรด้าชายฝั่งก็จับสัณญาณวัตถุลึกลับได้ส่วนประเด็นสุดท้ายก็คือ มิติที่ 4 การที่มีเครื่องบินหายไปจากจอเรดาร์ ทั้งนี้เพราะเหตุที่ว่าเครื่องบินเหล่านั้นได้บังเอิญบินหลุดเข้าไปในความแปรผันของสนามเวลา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติขึ้นในทันทีทันใด จุดแปรผันของกาลเวลาอาจเป็นเพียงบริเวณเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น การเคลื่อนย้ายออกไปจากมิติคือการแปรผันอย่างรุนแรงของสภาพมิติ ในบางครั้งมันก็อาจทำให้เรือเดินทะเลขนาดใหญ่หรือเครื่องบินทั้งฝูงหลุดเข้าไปสู่อีกห้วงหนึ่งของกาลเวลาที่ไม่ใช่ปัจจุบันและผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นก็จะติดอยู่ในห้วงแห่งกาลเวลานั้นโดยไม่มีทางกลับสู่มิติเดิมของเขาได้อีกเลย
ทุกวันนี้สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ายังคงเป็นดินแดนมรณะที่มีปริศนามากมายที่มนุษย์ยังหาคำตอบแท้จริงไม่ได้ ส่วนทฤษฎีต่างๆ ที่กล่าวมา ก็เป็นเพียงการวิเคราะห์ตามหลักวิชาการและวิทยาศาสตร์เท่านั้น เมื่อใดที่เราได้ล่วงล้ำเข้าอาณาเขตแห่งนี้ เราคงพบคำตอบที่จริงแท้หรือไม่ก็หายไปจากโลกใบนี้ตลอดกาล



วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เก้าอี้ของแวนโก๊ะ - เก้าอี้ของโกแกง




วินเซนต์ แวน โก๊ะ (Vincent Van Gogh) เป็นจิตรกรชาวดัตช์ ยุคโพสต์อิมเพรสชั่นนิสต์ ภาพที่เขาวาดเป็นที่รู้จักกันดีว่ามีความ “สวยงามแบบดิบๆ” แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา และใช้ “สี” ได้อย่างโดดเด่น โดยผลงานของเขามีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อแวดวงศิลปะในศตวรรษที่ 20 

แม้จะเป็นศิลปินที่ได้รับการยอมรับในระดับต้นๆ ของโลก แต่ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิต แวน โก๊ะ กลับเป็นเพียงศิลปินไส้แห้ง ถังแตก ผลงานของเขาแทบไม่เป็นที่รู้จักและไม่มีใครเห็นคุณค่า 

เรื่องราวของ วินเซนต์ แวน โก๊ะ (ขอเรียกว่า แวน โก๊ะ) ตลอดจนผลงานและความรู้สึกนึกคิดของเขา เป็นที่รับรู้ของคนยุคต่อมา ผ่านจดหมายที่เขาเขียนติดต่อกับ ธีโอ แวน โก๊ะ (Theo Van Gogh) น้องชาย (ขอเรียกว่าธีโอ) ซึ่งมีอาชีพเป็นดีลเลอร์ขายงานศิลปะ ธีโอเป็นคนเดียวที่ให้การสนับสนุนแวน โก๊ะ ทั้งด้านการเงิน และคอยให้กำลังใจพี่ชายด้วยความปรารถนาดีอยู่ตลอดเวลา

ในปี 1888 ระหว่างที่แวน โก๊ะประสบปัญหาทางการเงินอยู่นั้น ธีโอ ได้รับมรดกมาเป็นเงินจำนวนหนึ่ง เขาจึงแบ่งเงินจำนวนนี้เพื่อช่วยเหลือพี่ชายที่กำลังตกยาก 

นอกจากนี้ ด้วยคำขอของ แวน โก๊ะ ธีโอได้แบ่งเงินอีกส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือ พอล โกแกง (Paul Gau guin) เพื่อนจิตรกรคนสนิทของ แวน โก๊ะ โดยธีโอจ่ายเงินให้โกแกงเพื่อแลกกับภาพเขียนของเขาจำนวน 12 ภาพต่อปี หรือพูดง่ายๆ ก็คือจ่าย “เงินเดือน” ให้กับโกแกง โดยจ้างให้วาดภาพให้เดือนละภาพนั่นเอง

 

ต่อมา ธีโอได้แนะนำให้แวน โก๊ะและโกแกงย้ายมาอยู่ด้วยกัน เพื่อที่จะได้ช่วยกันแชร์ค่าใช้จ่าย ซึ่งแวน โก๊ะและโกแกงก็ทำตาม 

เมื่อมาอยู่ร่วมกัน แวน โก๊ะกับโกแกงเริ่มมีเรื่องระหองระแหงบ่อยครั้งตามประสาลิ้นกับฟัน ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ แวน โก๊ะเริ่มมีอาการทางจิต ซึ่งทำให้เขาทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง 

นอกจากนี้ การที่แวน โก๊ะตระหนักว่าความสัมพันธ์อันร้าวฉานระหว่างเขากับโกแกง คงทำให้ความฝันที่จะได้เปิดสตูดิโอร่วมกับเพื่อนรักคนนี้เลือนรางเต็มทน ก็ยิ่งทำให้เขาเป็นทุกข์ขึ้นไปอีก

ในปี 1888 ท่ามกลางความสับสน ว้าเหว่ จนกลายเป็นซึมเศร้านี้เอง แวน โก๊ะได้วาดภาพขึ้นมาสองภาพ ภาพหนึ่งเป็นภาพที่ชื่อว่า “เก้าอี้ของแวน โก๊ะ” (Van Gogh's Chair) บนเก้าอี้นั้นมีไปป์และยาเส้นของเขาวางอยู่ 

ว่ากันว่าเก้าอี้ตัวนี้มีสัญญะบ่งถึงตัวตนที่แท้จริงของ แวน โก๊ะ โดยมันได้ถอดเอาภาวะอารมณ์ของเขาในเวลานั้นออกมา ทำให้เป็นเก้าอี้ที่ดูแตกต่างและมีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง ก่อนจะกลายเป็นภาพเขียนที่โด่งดังไปทั่วโลก



อีกภาพหนึ่งที่แวน โก๊ะวาดในเวลาไล่เลี่ยกัน คือภาพ “เก้าอี้ของโกแกง” (Gauguin's Chair) เก้าอี้ตัวนี้ต่างจากตัวแรกตรงที่ดูหรูหรามีระดับกว่า ไม่เหมือนเก้าอี้ของแวน โก๊ะที่ดูเรียบง่าย 

เก้าอี้ของโกแกง เป็นสีน้ำตาลเข้ม มีที่เท้าแขน บนที่นั่งมีหนังสือและเทียนที่จุดแล้ววางอยู่ โดยแวน โก๊ะได้ใช้ภาพนี้เป็นสัญลักษณ์แทนตัวของโกแกง 

ทว่ายังไม่ทันที่จะวาดเสร็จ อาการทางประสาทของ แวน โก๊ะ ก็กำเริบอย่างรุนแรงจนไม่สามารถทำงานต่อได้ อย่างไรก็ตาม เมื่ออาการทุเลาลงแล้ว เขาก็ได้กลับมาวาดรูปเก้าอี้ของตัวเองจนสมบูรณ์ แต่ภาพเก้าอี้ของโกแกงนั้นถูกทิ้งไว้ โดย แวน โก๊ะ ไม่ได้กลับมาวาดต่ออีกเลย